'เจ้าคุณพิพิธฯ วัดสุทัศน์ท่านบอกว่า โยมหมอ ทำถูกต้องแล้วนะ อย่าไปเข้ากับทองไหนทั้งนั้น ยกเว้นทองแดง (หัวเราะ)'
ความขัดแย้งเรื่องการจัดงานวันวิสาขบูชาจบลงแล้ว แต่ความขัดแย้งในหมู่ชาวพุทธกันเองยังไม่จบลงง่ายๆ ทั้งมหาเถรสมาคม-สันติอโศก พระป่า-พระบ้าน ทองก้อน-ทองขาว แถมด้วยธรรมกาย ซึ่งร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง ๔ ปีที่ผ่านมา

จึงไม่แปลกเลยที่ควันหลงของเรื่องนี้ จะมาลงที่ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งถูกศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาเรียกร้องให้รัฐบาลปลดออกจากตำแหน่ง ฐานร่วมมือกับมหาจำลอง ฐานเอียงข้างพระป่า ผสมผเสกับข้อกล่าวหาไม่โปร่งใสบางเรื่อง ที่หมอจักรธรรมบอกว่า "น่ารังเกียจ"

แต่คงยาก ที่จะเอาข้อกล่าวเหล่านี้มาเล่นงานบุตรชายอดีตประธานองคมนตรี อาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ซึ่งนอกจากจะเป็นที่ยกย่องนับถือในความซื่อสัตย์สุจริต ท่านยังเป็นผู้ที่ศึกษาหลักธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างลึกซึ้งถึงแก่น เป็นสหายในทางธรรมกับท่านพุทธทาสมาตั้งแต่ยังหนุ่ม

เก้าอี้ร้อนๆ

"เขาไม่แฮปปี้ตั้งแต่เดือนตุลา.แล้ว" หมอจักรธรรมกล่าวถึงสาเหตุที่มีการเคลื่อนไหวจะไล่เขาออกจากเก้าอี้ "ศูนย์พิทักษ์ฯ เขาต้องการให้ตำรวจคนหนึ่งขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการต่อจากคนเก่า พอกลายเป็นเรา เราเลยกลายเป็นตัวหัวเน่าในสายตา"

ย้อนเล่าให้ฟังว่าคุณหมอได้รับการทาบทามให้มาดำรงตำแหน่งนี้ โดยรองนายกรัฐมนตรี วิษณุ เครืองาม เป็นผู้สอบถามความสมัครใจก่อนจะมีมติคณะรัฐมนตรีราว ๒ เดือน ต่อมาเมื่อจะนำเสนอคณะรัฐมนตรีก็ยังถามอีกครั้งว่ายืนยันความสมัครใจไหม

"ขณะนั้นผมเรียน วปอ.อยู่ ก็มีข่าวมากเลยเรื่องความขัดแย้งระหว่างพระป่าพระเมือง เรื่องความไม่ผาสุกในสำนักงาน ความไม่คืบหน้าของการปฏิรูประบบราชการหลังออกมาจากกรมการศาสนา และหลายๆ เรื่อง ข่าวการแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ที่คนทั่วไปเชื่อว่าเป็นการเสนอไปจากสำนักงานนี้ หลวงตาบัวยื่นหนังสือถึงท่านนายกฯ ให้เปลี่ยนตัว ผอ. (พล.ต.ท.อุดม เจริญ) มีข่าวว่าท่านนายกฯ ก็รับฟังหลวงตาแต่เนื่องจากใกล้เกษียณอายุราชการก็ให้ไปแบบนุ่มนวล ก็เลยมีการสรรหา"

บอกว่าเท่าที่ทราบก็มาจากการตัดสินใจร่วมกันของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต วิษณุ และสุดารัตน์ ในฐานะ รมว.สาธารณสุข
คุณหมอรู้ไหมว่าต้องมารับงานร้อน?
"ทราบ คือทราบว่าเขากำลังสรรหากันเครียดมากเลย เพราะอยากจะฉีกแนวมั้ง ไม่อยากได้การสืบทอดของผู้บริหารชุดเก่า อยากจะหาคนนอกที่เปลี่ยนแนวไปเลย"
บอกว่าฝั่งโน้นก็มีตัวเลือกอยู่เหมือนกัน "ได้ยินว่ามีการพาคนใหม่ไปพบพระผู้ใหญ่เรียบร้อย เขาก็เลยผิดหวังมาก"

หมอจักรธรรมเข้าใจดีว่า ปัญหาเกิดขึ้นเพราะศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนารู้สึกว่า ตัวเองเป็นเจ้าของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพราะเป็นผู้นำการเคลื่อนไหวเรียกร้องจนก่อตั้งสำนักงานนี้ขึ้นสำเร็จในช่วง ปฏิรูประบบราชการที่ผ่านมา

"ทุกวันนี้เขาก็ยังพูดนะ เขาไม่ได้ปิดบังความคิดนี้นะ เขายังพูดเขียนอยู่เลยว่าสำนักพระพุทธฯ เกิดมาได้ด้วยแรงของพุทธบริษัท ซึ่งก็คือกลุ่มนั้น และก็คาดหวังว่าเราจะต้องเป็นเด็กดีที่อยู่ในโอวาทของศูนย์พิทักษ์ฯ ซึ่งใน ๑ ปีที่ผ่านมา มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ผอ.เก่านำพาสำนักพระพุทธฯ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับศูนย์พิทักษ์ฯ มาก พูดอะไรก็ได้หมด ซึ่งผมเห็นว่าไม่ถูกต้อง ถ้ามีใครบังคับให้ผมทำอย่างนั้นผมก็คงต้องขอย้ายตัวเอง เพราะผมเห็นว่าสำนักพระพุทธฯ ควรจะเป็นกลาง และรับฟังทุกฝ่าย ดูแลชาวพุทธทุกฝ่าย ตรงนี้เป็นเรื่องใหญ่นะ ใหญ่กว่าเรื่องวันวิสาขะอีก จุดยืนผมเป็นอย่างนั้น"

"สมัยก่อนเวลาพระป่ามา เขาให้นั่งใต้ร่มไม้ (ชี้ให้ดูแนวต้นไม้ข้างสำนักงานในพุทธมณฑล) กันไว้เหมือนกับเป็นผู้ร้าย ถ้าพระเชียร์มาจะนิมนต์ฉันเพลในอาคาร คุณทองก้อนก็ถูกตีหัวในบริเวณนี้ ตอนนั้นพระป่ามา ๔-๕ รูปเท่านั้น ฝ่ายมหา...บอกเอามันเลย ฆ่ามันเลย มีวีซีดีอยู่ ผมเก็บไว้ ว่าจะเอาไปให้สมเด็จพระมหาธีราจารย์ท่านดูสักที ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดพระมหา..."

มหาองค์ไหนขอละไว้ในฐานที่เข้าใจ เราอดหัวเราะไม่ได้ ยังกะวีซีดีตากใบ

"ผมมาถึงผมประกาศชัดเจนเลย ผมขอเถอะนะ ขอดูแลชาวพุทธทุกฝ่ายเท่าเทียมกัน อันนี้ก็เป็นเหตุหนึ่งที่คุณสนิท (ศรีสำแดง) หรือคุณทองขาวไม่รู้ ออกมาพูดว่าไม่ได้ สำนักพระพุทธฯ เป็นกลางไม่ได้ สำนักพระพุทธฯ ต้องอยู่กับมหาเถรสมาคม"

"ความเป็นกลางของผมไม่ได้แปลว่าผมไม่เข้าข้าง มส. ไม่ใช่ ผมรู้ว่านั่นเป็นบทบาทของ ผอ.สำนักพระพุทธฯ ตามกฎหมายเลย ต้องเป็นเลขาฯ มหาเถรสมาคม เลขาฯ จะไปเห็นต่างจากมหาเถรสมาคมไม่ได้ เห็นต่างมติไม่ได้ แต่ก่อนจะเป็นมติ ผมขอ perform duty ผมขอเสนอแย้งขอเสนอเรื่องใหม่ ขอเสนออะไรต่ออะไรบ้างได้ไหม ตรงนี้เป็นอีก issue หนึ่ง ที่นอกจากว่า position ของสำนักพระพุทธฯ ควรจะอยู่ตรงไหน แล้วบทบาทของตัว ผอ. เพราะฉะนั้นเราก็ถือว่าถ้าเราเห็นว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ เราก็จะเสนอเข้า มส. หรือว่าเสนอพระ ถ้ามติเป็นยังไงเรา respect อย่างเรื่องวันวิสาขะผมก็เคารพมติ แต่ก่อนจะเป็นมติเราน่าจะมีความเห็นของตัวเราเองได้ หรือเห็นต่างจากพระได้ แล้วไปถกกันในที่ประชุมสิ ถ้ามติออกมายังไงก็โอเค"

"ความเป็นกลางของเราหมายถึงเรารับฟังทุกฝ่าย แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่เข้าข้างมหาเถรสมาคม เพราะหน้าที่เราต้องสนองงานมหาเถรสมาคม แต่ถ้าไปดูในตัวบทกฎหมาย สำนักพระพุทธฯ ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อให้ทำงานหลายอย่าง ภายใต้สำนักพระพุทธฯ มีสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สำนักนี้โอเค ๑๐๐% ของลมหายใจเข้าออกเขาทำงานให้มหาเถรสมาคม แต่กองอื่นๆ อีกตั้งหลายกองต้องทำหน้าที่อื่นบ้าง เช่น ส่งเสริมคนที่เป็นฆราวาส แม่ชี เอ็นจีโอ ที่เขาทำเรื่องการเผยแพร่ศาสนา เหล่านี้อาจจะไม่ใช่งานโดยตรงของมหาเถรสมาคมซึ่งเน้นเรื่องการปกครองสงฆ์ ปกครองวัด เพราะฉะนั้นสำนักพระพุทธฯ ตามกฎหมาย และตามความคาดหวังของประชาชนส่วนใหญ่ก็ควรจะทำในวงกว้าง แต่ศูนย์พิทักษ์ฯ และพระเถระที่อยู่ใน มส.บางรูปก็นึกว่าเราต้องทำเรื่องมหาเถรสมาคมเรื่องเดียว"

ปัญหานี้เองที่สะท้อนขึ้นมาในกรณีการจัดงานวันวิสาขบูชา

"พระเถระใน มส.บางรูป ท่านคาดหวังโดยศูนย์พิทักษ์ฯ ว่าทุกเรื่องที่เราตัดสินใจต้องได้รับอนุญาตจาก มส. อันนี้จึงเป็น issue ที่เขายกขึ้นมา เขาถามว่าหมอจักรธรรมมีอำนาจอะไรไปคุยหรือไปร่วมงานกับศูนย์คุณธรรม แรกทีเดียวพระไม่รู้ด้วยซ้ำว่าศูนย์คุณธรรมเป็นหน่วยราชการ พอมันเป็นเรื่องในที่ประชุมแล้วเราถึงยกขึ้นพูด"

"ถ้าจะบอกว่าเราต้องไปขออนุญาตพระเพื่อร่วมมือกับเขา ผมว่ามันเละเทะมากไปแล้ว ศูนย์คุณธรรมเป็นหน่วยงานราชการลักษณะองค์การมหาชน มีงบประมาณแผ่นดินมาทำงาน เงินที่เขาจะให้เราก็เป็นเงินงบประมาณแผ่นดิน และนายกฯ ก็มอบนโยบายผ่านศูนย์คุณธรรม เราเป็นหน่วยราชการ ต้องฟังนายกรัฐมนตรี อะไรเหล่านี้ ผมรู้สึกมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นปัญหาเลย"

ปม Sensitive

คุณหมอย้อนให้ฟังถึงไอเดียที่จะมีการจัดงานวันวิสาขบูชาร่วม กันอย่างยิ่งใหญ่ว่า เป็นเพราะเดิมทีมีการแยกจัดงานอยู่ ๓ สถานที่ คือที่พุทธมณฑล ที่อาคารสหประชาชาติ และที่สนามหลวง

ที่อาคารสหประชาชาติ มีพระเทพโสภณ แห่งมหาจุฬาฯ เป็นแม่งาน เพราะสหประชาชาติมีมติให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก อนุญาตให้ใช้สถานที่จัดงานได้ มหาจุฬาฯ จึงจัดในเชิงวิชาการโดยนิมนต์พระต่างประเทศมาร่วมด้วย

แห่งที่ ๒ ที่สนามหลวง คืองานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา จัดโดยศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา ซึ่งถือเป็นเอกชน มีเจ้าคุณระแบบวัดบวรฯ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พล.อ.ธงชัย เกื้อสกุล เป็นประธานฝ่ายฆราวาส จัดต่อเนื่องกันมาสิบกว่าปี

แห่งที่ ๓ คืองานสัปดาห์วิสาขบูชา จัดที่พุทธมณฑลนี้เอง โดยมีผู้แทนพระองค์เสด็จฯ มาเวียนเทียน และผู้นำรัฐบาลมาร่วม

ไอเดียเกิดขึ้นเพราะนายกรัฐมนตรีอยากเห็นการจัดงานวันวิสาขบูชายิ่งใหญ่ เป็นศูนย์รวมของชาวพุทธ เหมือนที่ชาวมุสลิมไปเมกกะในแต่ละปี

"ท่านนายกฯ ท่านเจอใครที่คิดว่าเกี่ยวข้องท่านก็สั่งหมด รวมทั้งสั่งเรา ท่านสั่งศูนย์คุณธรรมด้วย และก็ถวายความเห็นกับ มจร. พระเทพโสภณก็รับทราบ มจร.ก็บอกเขาจัดที่ตึกยูเอ็น เขาจะทำให้เป็นอินเตอร์โดยนิมนต์พระต่างประเทศมาร่วมประชุมวิชาการ แต่ยังไงก็เป็นเมกกะไม่ได้ สนามหลวงนี่ คุณจำลองเล่าว่าท่านนายกฯ เห็นว่ามันเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง คือซ้ำกันมา ๒๐ ปี กลุ่มลูกค้าที่มาก็กลุ่มเดิมๆ แต่รัฐบาลอยากเห็นกลุ่มใหม่ คือเยาวชน ให้มาสนใจพระธรรม แล้วท่านนายกฯ ก็บอกว่าอยากจะจัดให้ใหญ่แต่ต้องใหญ่แบบสวนโมกข์นะ เป็นปฏิบัติบูชา ไม่มีพิธีรีตอง"

"พอนายกฯ พูดอย่างนั้นเราก็-ยังไงต้องลงที่เราแน่ เพราะถ้าจะเป็นเมกกะมันต้องที่นี่ เรามี ๒,๕๐๐ ไร่ วันวิสาขะคนมาเป็นหมื่นอยู่แล้ว สนามหลวงขยายไม่ได้ และไม่ใช่ศาสนสถาน มันยาก เราก็ขายไอเดียว่าถ้าจัดนี่ที่นี่เหมาะไหมครับ นายกฯ ก็บอกน่าจะเป็นไปได้ แต่หมอต้องไปดูเรื่องอาหาร ห้องน้ำ ต้องเตรียมการ เราก็มาคุยกับ ๓ กลุ่มนี้ บอกว่าเราเตรียมที่จะเป็นเมกกะให้ได้ ปี ๒๕๕๐ ปีนี้ทำไม่ทันหรอก ทำไม ๒๕๕๐ เพราะอีก ๓ ปีเราคิดว่าพอไหว และเป็นปีที่พระเจ้าอยู่หัวครบ ๘๐ พรรษา เรารู้สึกว่าเหมาะมากถ้าทำสำเร็จ"

"ศูนย์คุณธรรมก็ได้รับนโยบาย งบประมาณ แนวคิด เขาก็ไม่ได้คิดจะไปตั้งต้นใหม่ เขาเลยมาคุยกับเราว่าถ้าจะทำแบบที่นายกฯ ว่าทำแนวสวนโมกข์-เขารู้ว่าผมเป็นศิษย์สวนโมกข์ จะร่วมกันได้ไหม หมอเป็นผู้นำในการจัดงานนะครับ แต่ศูนย์คุณธรรมจะ back up กำลังคน แล้วก็งบประมาณเต็มที่ เราก็เห็นว่าไม่มีอะไรเสียหาย ศูนย์คุณธรรมเป็นหน่วยราชการ สนองนโยบายนายกฯ ของเราตั้งงบไว้ ๕ แสนบาทเอง เขา offer ๒๓ ล้าน กำลังพลล่ะ ของเราก็ทำกันแบบราชการ ก๊อกๆ แก๊กๆ แบบสวนโมกข์มันไม่เกิด ถ้าทำแบบเดิมเราก็เป็นแผ่นเสียงตกร่องเหมือนกัน แต่เครือข่ายของศูนย์คุณธรรมเต็มบ้านเต็มเมืองเลย ทุกสาย และเป็นความตั้งใจของเขา"

"อันนี้ผมก็เรียนใน มส.ว่าท่านครับศูนย์คุณธรรมไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อเผยแพร่ศาสนา แต่ตั้งขึ้นมาเพื่อเผยแพร่คุณธรรมจริยธรรม ครบทุกศาสนาที่คนไทยนับถือ เขาจะเขาไป join กับผู้นำศาสนา แต่ทำไมเขามา kickoff วันวิสาขะนี่ผมไม่รู้" หมอจักรธรรมเล่าว่า เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเมื่อ ๒๔ ปีที่แล้ว มหาจำลองเคยจัดงานที่สวนลุมฯ เชิญอาจารย์สัญญาไปเป็นประธานเปิดงาน "คุณจำลองบอกไม่น่าเชื่อเลย ๒๔ ปีผ่านไปลูกอาจารย์สัญญามาเป็นประธานจัด" (แต่เกือบโดนเล่นอ่วมแล้วไหมล่ะ)

ถามว่าตอนนั้นเมื่อจะร่วมกับศูนย์คุณธรรมแล้วทำไมไม่รายงานให้ มหาเถรสมาคมทราบ คุณหมอก็ยืนยันในทัศนะตัวเองว่า สำนักพระพุทธฯ ไม่จำเป็นต้องรอให้ มส.อนุมัติก่อนทำงาน สามารถเตรียมการไปก่อน แต่ท้ายที่สุดก็จะต้องขออนุมัติอยู่ดี

"แน่นอนเมื่อมันมีภาพชัดขึ้นมา เราก็ต้องเรียน มส.ทราบ เพราะยังไงก็ต้องนิมนต์ท่านมาเปิดงาน มาเทศนา แต่ไม่ใช่แปลว่าท่าน yes ก่อนแล้วค่อยเริ่มทำงาน"

อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านั้นแนวคิดที่จะจัดงานวิสาขบูชาร่วมกันจาก ๓ ส่วน ก็เคยกราบเรียนสมเด็จพระพุฒาจารย์ให้ทราบแล้ว ว่าเป็นนโยบายนายกรัฐมนตรี สมเด็จเกี่ยวก็เห็นด้วยว่าดี อนุโมทนา แต่ตอนนั้นยังไม่ทราบว่าจะมีศูนย์คุณธรรมมีสันติอโศกมาเกี่ยวข้อง

หมอจักรธรรมบอกว่า ปกติการจัดงานวันวิสาขบูชาเป็นงานรูทีน ทางสำนักพระพุทธฯ จึงเตรียมมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว "ท่านจิ๋วตั้งกรรมการจัดงานวิสาขะที่พุทธมณฑลไว้ตั้งแต่ ม.ค. ๒๕๔๘ แล้ว เพราะเราขอรวมไว้ทั้งปีว่าจะจัดงานอะไรบ้าง" คณะกรรมการที่มีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานนี้ ก็เป็นเรื่องปกติ คือแทบจะไม่ได้มาเกี่ยวข้องกับการทำงานเลย "เราประชุมครั้งเดียวประมาณ ๗ วันก่อนงาน แล้วเรียนท่านว่าเตรียมอะไรไว้บ้าง ส่วนใหญ่รองนายกฯ ก็จะ-โอเค ดีแล้ว ดำเนินการต่อไป ประชุมครั้งเดียวไม่รบกวนเวลามาก"

พอจะร่วมกับศูนย์คุณธรรม ก็คิดว่าเปลี่ยนรูปแบบได้ โดยคุณหมอในฐานะประธานจัดงานตามคำสั่งบิ๊กจิ๋ว มาร่วมเตรียมการกับภาคีของศูนย์คุณธรรม ๔๐ กว่าองค์กร แต่ที่เป็นเรื่องขึ้นมาก็คือมหาจำลองตั้งหมอจักรธรรมเป็นประธานดำเนินการ ในการจัดงานร่วมกัน

"ศูนย์จะช่วยคนเรา ช่วยเงินเรา เราจะไปเบิกเงินของศูนย์ใช้ คำสั่งต้องเป็นของศูนย์ อันนี้เป็นเทคนิคด้านการบัญชี ไม่ใช่ว่าคุณจำลองใหญ่โตเอาคุณจำลองเป็นผู้นำเถอะ-ไม่ใช่เลย จะใช้เงินเขา ๒๓ ล้านต้องเป็นงานของเขา เขาต้องลงนามในคำสั่ง ไม่อย่างนั้นเบิกเงินไม่ได้ ตอนแรกเขาจะให้เราออกคำสั่งสำนักพระพุทธฯ แต่คลังบอกว่าถ้าเป็นคำสั่งคุณหมอต้องใช้งบคุณหมอ ก็ต้องเป็นคำสั่งศูนย์ แล้วหมอจักรธรรมก็มานั่งในคณะทำงาน ๕-๖ ชุดโดยอาศัยอำนาจของประธานดำเนินการ แล้วก็มีคำสั่งที่ท่านจิ๋วตั้งไว้ ไม่ยากหรอก ถือว่ามี ๒ ชุดก็ได้ เราก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นปัญหา"

"แต่บัดนี้เมื่อมีปัญหาอย่างนี้ คำสั่งของศูนย์คุณธรรมกับคำสั่งของประธานดำเนินการก็ต้องยกเลิกไป ยุติการร่วมมือกัน"

หมอจักรธรรมบอกว่า ล่าสุดได้เสนอให้จาตุรนต์เข้ามาเป็นประธานคณะกรรมการจัดงานรวมทั้ง ๓ ชุด เพื่อให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยยกเลิกคณะกรรมการชุดที่ พล.อ.ชวลิตตั้งไว้ ซึ่งเท่าที่ประชุมกันเมื่อวันพฤหัสฯ ทาง มจร.กับสำนักพระพุทธฯ ก็ตกลงจะรวมกัน แต่ทางสนามหลวงยังขอเวลาตัดสินใจเนื่องจากเตรียมงานไปก่อนแล้ว ถ้ารวมไม่ทันก็รวมปีหน้า

ย้อนถามว่าตอนที่จำลองเข้ามา ตั้งคณะกรรมการโดยมีท่านจันทร์ สมณะสันติอโศก คุณหมอไม่เฉลียวใจหรือว่าจะมีปัญหา หมอจักรธรรมหัวเราะแล้วบอกว่ารู้

"ในการ deal กับคุณจำลอง ผมมอบให้ ๒ คน ผู้อำนวยการกองกลาง ดร.อำนาจ ผู้อำนวยการกองพุทธมณฑล คุณยงยุทธ ผมเรียกมานั่งตรงนี้ ผมขอ imform นะว่าที่ผมนำพาสำนักงานเราเข้าไปชิดกับศูนย์คุณธรรมอาจจะมีปัญหา หนึ่ง-สอง-สาม-สี่-ห้า ทั้งสองท่านต้องรู้นะว่ามันมีความเสี่ยงอย่างนี้ๆๆ นะ ท่านเห็นยังไง ก็คุยกันไปคุยกันมา เอานะเรารับความเสี่ยง คือเราคิดว่าเราชี้แจงได้ เป็นหน่วยราชการ ใช้งบประมาณแผ่นดิน แล้วก็ประกาศนียกรรมที่ออกเขาห้ามคณะสงฆ์ ห้ามพระไปสังฆกรรมกับสันติอโศก แต่เราไม่ใช่นี่ เราเป็นฆราวาส และเราก็คิดว่าเราต้องดูแลทุกหมู่เหล่า หลายอย่างผสมผสาน ทำให้เราตัดสินใจเดินหน้าต่อไป แล้วเราก็คิดว่าถ้ามีปัญหาเราชี้แจงได้ และ dead end ของเราจริงๆ คือต้องขอให้สมณะจันทร์ถอนตัว ถ้าพระท่านไม่ยอม เราคิดกันไว้อย่างนี้ พอเกิดปัญหาเราขอให้เขาถอนตัวจริงๆ เขาก็ถอน ขอปุ๊บเขาก็ถอนปั๊บ คุณจำลองแก้คำสั่ง ไม่ถึง ๕ นาที"

"เขามาในนามมูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน ในรายงานการประชุมเขียนว่ามูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน ผมยังบอกสองคนว่ารายงานการประชุมต้องดูให้ดีนะ ห้ามเขียนว่าพระ เพราะเขาไม่ใช่พระ ที่นั่งในที่ประชุมต้องระวังอย่าให้มานั่งตรงกลางกับพระ เขาเป็นสมณะ อันนี้เป็นเรื่อง sensitive แล้วก็กะว่า bottom line ของเราคือเขาจะถอนตัวถ้ามีปัญหา"

ถามว่าถ้าได้จัดจริงๆ แล้ววันงานจะจัดกันยังไง ถ้าสันติอโศกมาร่วม

"รายละเอียดยังไม่ได้คิดขนาดนั้น กรรมการที่คุณจำลองตั้งก็มีพระสงฆ์ บางรูปก็เป็น มส.ด้วย เราก็คิดว่า เอาน่าเดี๋ยวถกกันในนั้นก็ยังไม่ทันลงรายละเอียด มส.ท่านประชุมครั้งแรก สมเด็จพุฒาจารย์ก็ย้ำว่าเมื่อเป็นหน่วยราชการและเตรียมกันไว้ถึงขนาดนี้แล้ว ท่านมอบให้พระ ๔ รูปที่ได้รับการแต่งตั้งโดยคุณจำลอง ให้ไปคิดว่าทำยังไงจะนุ่มที่สุด ท่านก็คิดคล้ายๆ เราว่าจะมาถกกันอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันถก"

ตรงนี้หมอจักรธรรมยืนยันว่า มติ มส.ไม่ได้รังเกียจศูนย์คุณธรรม เพียงแต่ระบุว่าคณะสงฆ์ไม่สามารถร่วมกับสันติอโศกได้

"สมเด็จพุฒาจารย์ย้ำเลยนะ อยู่ในรายงานการประชุม ท่านไม่ใช่ให้ไปดูว่าใครผิดใครถูก ทำได้ทำไม่ได้ เมื่อมาถึงขนาดนี้แล้วก็ให้ไปคิดว่าทำยังไงถึงจะพอดี ไม่สะเทือนใจใครต่อใครมากเกินไป แต่ยังไม่ทันคิดกัน ก็เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา แล้วขยายผล ในรายงานการประชุมเขียนชัดเจนว่ามหาเถรสมาคมไม่ได้รังเกียจศูนย์คุณธรรมซึ่ง เป็นหน่วยงานราชการ แต่ว่ามีบางภาคีที่คณะสงฆ์ไม่สามารถร่วมได้จริงๆ ไม่ใช่เรื่องความเห็นนะ ไม่ใช่คณะสงฆ์บอกว่าไอ้นี่ไม่ดี ไม่อยากร่วม ไม่ใช่ เป็นคำสั่งออกมา เป็นกฎหมายห้ามร่วม คณะสงฆ์ไม่มีทางเลือก"

คุณหมอบอกว่าจริงๆ แล้วรูปแบบการจัดงานที่คิดกันไว้ก็จะระวังไม่ให้มีสันติอโศกมาร่วมพิธีสงฆ์

"เราคิดกันไว้ว่าจะเป็นการจัดงานโดยฆราวาสมากๆ และถ้าเป็นพระก็พระสมัยใหม่ ส่วนพระผู้ใหญ่ก็มาเปิดมาเทศน์ ไม่ใช่มาร่วมจัด หัวเข่าชนกัน พิธีทางการเช่นวันเปิด จะไม่มีสมณะจันทร์ จะเป็นพระของเรา แต่สมณะจันทร์จะมาอยู่ใต้ต้นไม้ บนเวที อะไรอย่างนี้ ในรายละเอียดถ้าสมณะจันทร์จะมาร่วมแค่ไหนอย่างไร พระที่อยู่ในพิธีจะช่วยกันคิดก่อนว่ามาตรงนี้ไม่ได้นะ มาตรงนี้ได้นะ ลักษณะอย่างนี้ คือทำอะไรได้แค่ไหน ต้องให้พระท่านตีความ"

ตรงนี้ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้คิดว่าจะมีปัญหามากขนาดนี้ "มัน sensitive กับพวกขวาตกขอบ คือเขาจะห่วงกันมาก เขามองร้ายกว่านั้น เขามองว่าการไปร่วมคือการทำลายพระพุทธศาสนา เป็นแผนทำลายระยะยาว"

เราบอกว่าพระใน มส.หรือคนข้างพระ อาจจะรู้สึกว่าถ้าจัดงานที่พุทธมณฑล โดยมีสมณะสันติอโศกนับร้อยมาเดินปะปนกับพระ ก็ถือเป็นสังฆกรรมแล้ว

"เขาจะรู้สึกว่าขัดกับบัพพาชนียกรรม พอเป็นเรื่องเป็นราวแล้ว ประชุมกันครั้งสองครั้ง เขาจะรู้สึกว่าขัดกับบัพพาชนียกรรม เพราะเขามองว่าพุทธมณฑลเป็นของคณะสงฆ์-พระท่านพูดในที่ประชุมนะ ที่ท่านบอกว่าสำนักพุทธฯ ควรทำไปหน่วยเดียว แล้วพูดเหมือนดักคอไว้ว่าพุทธมณฑลนี่ของคณะสงฆ์นะ สำนักงานพระพุทธฯ หรืออธิบดีจะไปอนุญาตอะไรง่ายๆ ไม่ได้นะ เรื่องนี้ท่านพูดย้ำไว้"

ที่แท้ติดใจมหา

พระเถระ ๔ รูปที่มติ มส.ให้ไปพิจารณาตามมติวันที่ ๑๑ เม.ย. ได้แก่ พระเทพโสภณ แห่ง มจร. พระราชเมธาภรณ์ มมร. พระธรรมวรเมธี วัดราชบพิธฯ พระพรหมวชิรญาณ วัดยานนาวา

คุณหมอบอกว่า พล.ต.จำลองแก้คำสั่งศูนย์คุณธรรมถอดสมณะจันทร์ออกจากคณะกรรมการวันที่ ๑๑ เม.ย.พอดี แต่เสนอเข้าไม่ทัน ตัวเขาก็มาเห็นคำสั่งหลังประชุม มส.เสร็จแล้ว

"วันที่ ๑๑ ผมเห็นคุณจำลองออกคำสั่งปุ๊บ ผมยกหูหาเจ้าคุณธรรมสิทธิ์ เลขาฯ ท่านสมเด็จพุฒาจารย์ ท่านครับมีคำสั่งใหม่ ไม่มีสมณะจันทร์ คุณจำลองท่านมีไมตรีนะท่านถอยหนึ่งก้าว ไม่นึกว่าท่านจะถอยง่ายอย่างนี้นะ เราจะเสนอใหม่ดีไหมครับ เจ้าคุณธรรมสิทธิ์ไม่ make decision"

"ผมเห็นตอน ๕ โมงเย็น ประชุม มส.เสร็จแล้ว ยกหูหาท่าน เสนอใหม่ดีไหมคราวหน้า ลองถามสมเด็จเกี่ยวให้ผมหน่อยสิ-ไม่ดีหรอกหมอ ให้เจ้าคุณเทพโสภณดีกว่า ท่านประสานเรื่องนี้ดีที่สุด เจ้าคุณธรรมสิทธิ์ว่า ผมก็ติดต่อเจ้าคุณเทพโสภณแล้วก็แฟกซ์เรื่องนี้เข้าไปเลย บอกท่านครับระหว่างสงกรานต์นี้อย่าเกรงใจผมนะ ตัดสินใจยังไงรีบโทร.บอกผม ก็ไม่มี decision จนกระทั่งเช้าวันที่ ๑๘ เจ้าคุณเทพโสภณโทร.มาบอกได้คุยกันแล้ว แต่อาจจะไม่ครบทุกองค์นะ ไม่ควรเสนอ"

เพราะอะไร เพราะยังติดใจมหาจำลอง?

"ผมว่าเจ้าคุณเทพโสภณท่านไม่ได้ซีเรียสเรื่องนี้ แต่ท่านมองเรื่องรัฐศาสตร์ว่าเดี๋ยวมันจะกระเพื่อม มันกำลังจะดีอยู่แล้ว จริงอยู่แม้นายกฯ จะออกมาพูดทางวิทยุวันที่ ๑๖ ว่าอยากให้จัดที่นี่ แต่อาตมาว่าอย่าเสนอเลย save ตัว ผอ.ด้วย เจ้าคุณเทพโสภณท่านพูดนะ ผมก็บอกว่า มส.มอบ ๔ องค์นี้เป็นผู้พิจารณา ๔ องค์นี้เอายังไง ผมเอาอย่างนั้นครับ แต่ถ้าถามผม ผมว่าต้องทบทวน เพราะจะให้ภาพประชาชนว่าถอยคนละก้าว จับมือกัน แต่ในช่วงสงกรานต์เรื่องมันขยายโดยศูนย์พิทักษ์ มันไม่ใช่เฉพาะสันติอโศกแล้ว มันกลายเป็นศูนย์คุณธรรมทั้งศูนย์ คุณจำลองก็ไม่ได้ หมออุดมศิลป์ก็ไม่ได้ ไม่เอาหมดเลย พระเลยไม่กล้าขยับ"

มติ มส.เมื่อวันที่ ๒๐ จึงออกมาอย่างที่หมอจักรธรรมบอกว่า "nobody talk about it"

"คือวันที่ ๑๑ มีมติให้จัดหน่วยเดียวไปก่อน แล้วที่มันยุ่งๆ กันอยู่ให้ ๔ รูปไปดูหน่อยสิ ว่าจะทำยังไงให้มันดี พอประชุมเสร็จผมเห็นคำสั่งใหม่ ผมเสนอ ๔ รูป ท่านจะให้ผมเสนอใหม่ไหมในวันที่ ๒๐ จะทบทวนไหม พอวันที่ ๑๘ ท่านเห็นว่าไม่ควร วันที่ ๒๐ ผมก็ไม่ได้เสนออะไร"

การไม่ทบทวนคือยืนยันมติทางอ้อม "ผมก็บอกสื่อมวลชนไปว่าไม่มีใครพูดถึงเลย นั่นก็หมายความว่ามหาเถรยืนยันมติ เพราะท่านไม่ใช่ไม่รู้ว่ามีคำสั่งใหม่ ท่านก็อ่านหนังสือพิมพ์ ทุกคนรอวันที่ ๒๐ แต่สำนักพระพุทธฯ ไม่เสนอ เราก็คิดว่าจะมีพระบางองค์เสนอ เช่น พระพรหมวชิรญาณ ท่านให้สัมภาษณ์ว่าน่าทบทวน เราก็นึกว่าจะมีบางองค์ยกขึ้น แต่ไม่มี"

นั่นอาจจะเป็นการแก้ปัญหาแบบพระ ซึ่งหมอจักรธรรมยอมรับว่าบางทีการเฉยแบบพระก็อาจจะทำให้เรื่องนิ่งลงได้ ถามว่าปีหน้าจะมีโอกาสจัดใหม่ไหม โดยคราวนี้ปรึกษา มส.ให้ท่านเป็นผู้ริเริ่ม

"หมอว่ายาก บัพพาชนียกรรมยังอยู่ สันติอโศกนี่ไม่ได้แน่เพราะไม่ใช่เรื่องดุลยพินิจ องค์ไหนที่เห็นว่าสันติอโศกดี ก็ทำไม่ได้ เพราะเป็นกฎหมายห้าม"

แล้วถ้าถือว่าสันติอโศกเป็นฆราวาส มาร่วมจัดงานอยู่มุมหนึ่งล่ะ "เขาถือเหมือนเดิมว่าทุกตารางนิ้วที่นี่เป็นของสงฆ์"

หมอจักรธรรมเล่าเรื่องตลกว่า ที่จริงงานที่สนามหลวงเมื่อปีที่แล้ว สมณะจันทร์ก็ไปตั้งบูธอยู่ แต่ไม่เห็นมีใครทัก ไปเป็นวิทยากรสอนธัมมะเยาวชน ธรรมกายก็ไปตั้งบูธเหมือนกัน โดยเจ้าคุณระแบบไม่ได้ว่าอะไร ทั้งที่เจ้าคุณระแบบท่านก็เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนา

"แต่ครั้งคุณจำลองมาชู เขาเห็นคำสั่งคุณจำลองไง จำลอง ศรีเมือง ลงนามให้จัดที่พุทธมณฑล ให้หมอจักรธรรมจัด เขาก็นึกว่าผมตีตนออกห่าง นอกใจ มีคนพูดให้พระฟังในที่ประชุม บอกว่าเราต้องระวังไว้นะ พุทธมณฑลนี่มีหลายหน่วยหลายฝ่ายอยากจะยึดครอง ต้องระวังไว้ อะไรที่มันล่อแหลมต้องละเอียดรอบคอบ เขามองอย่างนั้น หมอจักรธรรมถูกมองว่าเป็นลูกศิษย์หลวงตาบัว ห่างเหินจากสมเด็จเกี่ยว เป็นคนแบบสมัยใหม่เกินไป ไปเข้าข้างศูนย์คุณธรรม ท่านบอกว่าไม่เห็นจะยากเย็นอะไรเลยจัดให้ยิ่งใหญ่ เงิน ๒๓ ล้านจิ๊บจ๊อยคณะสงฆ์ก็พอจะสนับสนุนได้"

หมายความว่าอีกหลายปีข้างหน้าก็ไม่มีทางจัดแบบที่คิดกันได้ "World Buddhist Day ยังไงก็เกิดที่นี่ไม่ได้เสียแล้ว ท่าทาง ที่นี่คือพุทธมณฑล แต่เกิดในประเทศไทยได้"

อย่างไรก็ดี หมอจักรธรรมบอกว่าเขาก็ไม่เห็นด้วย ที่มีข่าวว่ามหาจำลองจะไปจัดงานอีกแห่งหนึ่งร่วมกับธรรมกาย แล้วนายกรัฐมนตรีจะไปร่วม และมีการถ่ายทอดสด
"พูดง่ายๆ ว่าราชการกับกลุ่มที่ มส.ไม่เอาไปจัดงานแข่งกัน ถ้ามันเกิดจริงๆ ก็ดูไม่ดี ว่ายังมีเขา เรา ก๊กเหล่าอยู่"
ตรงนี้เขาเตือนว่าความจริงธรรมกายก็ร่วมสังฆกรรมกับสันติอโศกไม่ได้

"ธรรมกายไม่ควรไปยุ่งกับสันติอโศกเพราะธรรมกายยังเป็นสงฆ์ ยังอยู่ใต้บัพพาชนียกรรม แต่ธรรมกายอาจจะลืมไป หรืออาจจะ politic มากไป อย่างนี้คณะสงฆ์จะไม่แฮปปี้กับธรรมกาย"

"เขาพยายามกดดัน มส.อยู่ เพราะเรื่องยังไม่จบ เรานั่ง ๖ เดือนเรารู้ มีความกดดันจากศิษย์ธรรมกายมากที่จะให้จบเรื่องที่ยังอยู่ในศาล และก็ให้เกิดการยอมรับ รัฐบาลก็พยายามดึงธรรมกายเข้ามาใช้ประโยชน์ อย่างจัดงานทำบุญประเทศก็ถูกถามว่าเชิญธรรมกายหรือยัง-ธรรมกายเขาพร้อมนะ อะไรต่ออะไร วันที่คุณจำลองพาเราเข้าไปพบนายกฯ นายกก็บอกว่าผมเป็นห่วงเรื่องสถานที่นะถ้าจะทำแบบเมกกะ ผมไปเห็นธรรมกายแล้วพร้อมจริงๆ ห้องน้ำเป็นพัน สะอาดสะอ้าน แต่ถ้าไปธรรมกายผมแย่แน่-นี่นายกฯ พูดนะ เพราะมันไม่เป็นกลาง"

"งานนี้ทุกคนก็เสียดายโอกาสมาก ที่คนระดับผู้นำรัฐบาลจะออกมาทุ่มเทจัดงานแล้วจะใช้พุทธมณฑล แต่ว่าโอกาสมันหลุดไปแล้ว ตอนนี้"

อย่างไรก็ตาม หมอจักรธรรมบอกว่าแม้จะจัดคนเดียว งานวิสาขบูชาปีนี้เขาก็จะจัดให้ดีที่สุด และจะดึงแทบทุกฝ่ายเข้าร่วมอย่างหลากหลาย โดยคงรูปแบบไอเดียเดิมที่คิดไว้ร่วมกับศูนย์คุณธรรมนั่นเอง

"อย่างที่ผมเรียนสื่อมวลชนเมื่อวันที่ ๒๐ ว่าอย่าห่วง โอเคผมทำคนเดียว แต่ผมจะทำให้ดีกว่าเดิม อะไรที่คิดไว้ว่าจะทำแล้วดีและไม่เป็นปัญหาทางเทคนิค ผมก็จะทำให้ คือผมอาจจะไปเชิญสมาชิกของศูนย์ที่ไม่ได้มีปัญหากับคณะสงฆ์ ผมอาจจะเอากิจกรรมที่ศูนย์คิดไว้แล้วไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสันติอโศกมาทำ เพราะหลายเรื่องดีมาก เมื่อวานจดใส่กระดาษเอ ๔ ไป ๒ แผ่นเตรียมเสนอคุณจาตุรนต์ แต่ยังไม่มีจังหวะพูด หลายอันที่ผมเตรียมเสนอเป็นสิ่งที่คิดโดยภาคีของศูนย์ เช่น แม่ชีศันสนีย์ พระดุษฎี พระที่วัดปัญญานันทารามท่านคิดไว้กิจกรรมที่ดีๆ มาก และเกี่ยวกับเยาวชน"

บอกว่าภาคีเหล่านี้ยังร่วมได้ "เราก็จะให้คุณจาตุรนต์นั่นแหละเชิญมา เพราะตอนนี้เราเสนอกรรมการอำนวยการชุดเดียวทั้งงานที่ยูเอ็นและที่นี่ โดยคุณจาตุรนต์เป็นประธานใหญ่"

และแม้แต่ศูนย์คุณธรรมก็น่าจะร่วมได้ คุณหมอบอกว่านี่จาตุรนต์พูดนะ ไม่ใช่เขาพูด เดี๋ยวตายคนเดียว "ผมคิดว่า มส.ท่านไม่ติดใจ เพราะมติที่ประชุมเมื่อวันที่ ๑๑ ชัดว่าคณะสงฆ์ไม่ได้รังเกียจศูนย์คุณธรรม รู้ว่าเป็นหน่วยราชการ แต่ขออย่างเดียวคือทางเทคนิคเพราะไปเกี่ยวข้องกับบัพพาชนียกรรม แต่ยังไงไม่รู้ศูนย์พิทักษ์ก็เฮโล แล้วพระก็ชักจะยิ้มๆ ที่ศูนย์พิทักษ์พูด ก็กลายเป็นคุณจำลองก็ไม่ได้ แต่หมอว่ารายงานการประชุมเขียนชัดว่าศูนย์คุณธรรมเป็นหน่วยราชการ ถ้าคณะสงฆ์รังเกียจหน่วยราชการก็ไม่มีเหตุผล"

น.พ.จักรธรรม ธรรมศักดิ์
ไทยโพสต์ แทบลอยด์ ๒๔ เมษายน ๒๕๔๘ กองบรรณาธิการ